
Data Privacy คืออะไร นำไปต่อยอดการทำธุรกิจอย่างไรได้บ้าง
การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่เมื่อ PDPA มีผลบังคับใช้ แต่ ANGA (ดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดและรับทำ SEO) มองว่านี่ไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และมัดใจผู้บริโภค ซึ่ง Data Privacy คือการให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างเหมาะสม ตั้งแต่การเก็บรวบรวม การประมวลผล ไปจนถึงการใช้และลบข้อมูล บทความนี้จะอธิบายให้คุณเข้าใจเรื่อง Data Privacy อย่างละเอียด พร้อมอธิบายความแตกต่างกับ Data Security และแนวทางในการนำ Data Privacy มาปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจในยุคนี้

Data Privacy คืออะไร
Data Privacy คือความเป็นส่วนตัวของข้อมูล หรือสิทธิของคุณในการควบคุมว่าใครจะเห็น ใช้ หรือแชร์ข้อมูลส่วนตัวของคุณได้บ้าง รวมถึงข้อมูลอย่างชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือแม้แต่พฤติกรรมออนไลน์ เปรียบเสมือนกุญแจบ้านที่คุณเลือกเองว่าจะให้ใครถือและใช้งานได้บ้าง เนื่องมาจากเวลาคุณใช้เว็บไซต์หรือแอปต่าง ๆ มักจะมีการเก็บข้อมูลของคุณไว้ ซึ่งบางทีอาจเก็บมากเกินความจำเป็น หรือเอาไปใช้โดยที่คุณไม่รู้ตัว การมี Data Privacy ที่ดีช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจว่าจะแชร์อะไร กับใคร และเมื่อไหร่ โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญอย่างข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลสุขภาพ หรือประวัติการสั่งซื้อสินค้า
ในปัจจุบัน หลายประเทศมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อย่างในไทยก็มี PDPA (Personal Data Protection Act) หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่บังคับให้องค์กรต้องขออนุญาตก่อนเก็บข้อมูลคุณ บอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน และคุณมีสิทธิ์ขอดู แก้ไข หรือลบข้อมูลของตัวเองได้ ซึ่งการมี Data Privacy ไม่ได้แปลว่าไม่แชร์ข้อมูลเลย แต่หมายถึงการมีอำนาจตัดสินใจและเข้าใจว่าข้อมูลของคุณถูกนำไปใช้อย่างไร เมื่อคุณไว้ใจว่าข้อมูลของคุณจะถูกใช้อย่างเหมาะสม คุณก็จะเต็มใจแชร์ข้อมูลมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่บริการที่ดีขึ้นและเหมาะกับความต้องการของคุณมากขึ้นด้วย
ตัวอย่าง Data Privacy มีอะไรบ้าง
Data Privacy ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันมีหลายรูปแบบ ซึ่งทั้งองค์กรและบุคคลควรให้ความสำคัญ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และนี่คือตัวอย่างของ Data Privacy ที่พบได้บ่อย
- การขอความยินยอมก่อนเก็บข้อมูล เช่น เมื่อคุณเข้าเว็บไซต์แล้วมีป๊อปอัปถามว่ายอมรับการใช้คุกกี้หรือไม่ หรือแอปที่ขออนุญาตเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของคุณ
- การแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัว เช่น เว็บไซต์และแอปต่าง ๆ ต้องมีหน้านโยบายความเป็นส่วนตัวที่อธิบายว่าจะเก็บข้อมูลอะไร ใช้อย่างไร และแชร์กับใครบ้าง
- การเข้ารหัสข้อมูล เช่น ข้อความในแอป LINE หรือ WhatsApp ถูกเข้ารหัสแบบปลายทางถึงปลายทาง ทำให้แม้แต่บริษัทผู้ให้บริการก็ไม่สามารถอ่านได้
- การจำกัดการแชร์ข้อมูล เช่น โรงพยาบาลไม่สามารถเปิดเผยประวัติการรักษาของคุณกับบริษัทประกันโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือธนาคารไม่สามารถบอกยอดเงินของคุณแก่คนอื่น
- การตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึง เช่น บริษัทกำหนดว่าพนักงานคนไหนเข้าถึงข้อมูลส่วนใดได้บ้าง เช่น ฝ่ายบัญชีเท่านั้นที่เห็นเงินเดือนพนักงาน
- การป้องกันการติดตามพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การใช้เบราว์เซอร์แบบส่วนตัว หรือ VPN เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ติดตามการท่องเว็บของคุณ
- การแจ้งเตือนเมื่อมีการละเมิดข้อมูล เช่น บริษัทต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบหากระบบถูกแฮ็กและข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
Data Security คืออะไร
Data Security คือความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งเป็นการดูแลปกป้องข้อมูลไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงหรือทำอะไรกับข้อมูลของเราได้ เหมือนกับการล็อกบ้านและเปิดประตูให้เฉพาะคนที่เราไว้ใจเท่านั้น Data Security ครอบคลุมทั้งการป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกขโมย ถูกแก้ไข หรือถูกทำลาย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือทำให้ข้อมูลยังคงเป็นความลับ มีความถูกต้อง และพร้อมใช้งานเมื่อเราต้องการ
รู้ไหมว่าในแต่ละวัน เราใช้ Data Security โดยไม่รู้ตัว เช่น การตั้งรหัสผ่านที่ยากๆ การยืนยันตัวตนด้วย OTP เวลาทำธุรกรรมออนไลน์ หรือการล็อกหน้าจอมือถือ สำหรับองค์กร Data Security มีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องมีทั้งการเข้ารหัสข้อมูล การสำรองข้อมูลสำคัญ การติดตั้งไฟร์วอลล์ การอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย และการฝึกอบรมพนักงานให้ตระหนักถึงภัยคุกคามต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสำคัญได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสมมากที่สุด
ตัวอย่าง Data Security
- การพิสูจน์ตัวตนหลายชั้น นอกจากรหัสผ่านที่ยาก ๆ แล้ว การใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน เช่น การส่ง OTP ไปยังมือถือ การสแกนใบหน้า หรือลายนิ้วมือ ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
- การสำรองข้อมูลอัตโนมัติ การสำรองข้อมูลเป็นประจำและเก็บไว้หลายที่ ช่วยให้ข้อมูลยังอยู่แม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เสีย ไฟไหม้ หรือถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ทำให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้
- การเข้ารหัสข้อมูลสำคัญ การแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่อ่านไม่ได้ ต้องมีกุญแจถึงจะถอดรหัสได้ ทำให้แม้ข้อมูลถูกขโมยไป คนที่ได้ไปก็ไม่สามารถอ่านหรือใช้ข้อมูลนั้นได้
- การแบ่งระดับการเข้าถึงข้อมูล ไม่ใช่ทุกคนในองค์กรต้องเห็นข้อมูลทุกอย่าง การกำหนดว่าใครเข้าถึงข้อมูลอะไรได้บ้าง ช่วยลดความเสี่ยงจากคนในที่อาจนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด หรือกรณีบัญชีผู้ใช้งานถูกขโมย
- การตรวจสอบความผิดปกติ ระบบที่คอยสังเกตพฤติกรรมการใช้งานผิดปกติ เช่น มีคนพยายามเข้าสู่ระบบหลายครั้งจากต่างประเทศ หรือมีการดาวน์โหลดข้อมูลในปริมาณมากผิดปกติ จะช่วยแจ้งเตือนให้ทีมไอทีรู้ทันทีและจัดการได้อย่างรวดเร็ว
สรุปความแตกต่างของ Data Privacy กับ Data Security
Data Privacy เกี่ยวกับการควบคุมว่าใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล การขอความยินยอม และสิทธิ์ในการจัดการข้อมูลของเจ้าของข้อมูล ส่วน Data Security คือเครื่องมือและวิธีการที่ใช้ป้องกันข้อมูลจากการถูกขโมย ทำลาย หรือเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งสองอย่างต้องทำงานร่วมกัน – Privacy กำหนดว่า “ใคร” ควรเข้าถึงข้อมูลได้บ้าง ส่วน Security ดูแลว่าจะ “ป้องกัน” ข้อมูลนั้นอย่างไร
เราจะนำ Data Privacy มาปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างไร
การนำ Data Privacy มาปรับใช้กับธุรกิจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดได้มาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ การทำตามหลักการนี้จึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญด้วย
- ถามก่อนเก็บข้อมูล – ทำฟอร์มที่ชัดเจนว่าจะเก็บข้อมูลอะไร ทำไม และให้ลูกค้าเลือกได้ว่าจะรับข่าวสารแบบไหน ช่วยให้การส่งข้อมูลหรือโปรโมชั่นตรงใจลูกค้ามากขึ้น เปิดอ่านมากขึ้น และมีโอกาสซื้อสูงขึ้น
- เก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น ขอแค่ข้อมูลที่ต้องใช้จริง ๆ ไม่ต้องเก็บทุกอย่าง ช่วยให้จัดการข้อมูลง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงหากมีข้อมูลรั่วไหล และยังทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าเราก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวเกินไป
- พูดตรง ๆ เรื่องข้อมูล ใช้ภาษาง่าย ๆ บอกลูกค้าว่าจะเอาข้อมูลไปทำอะไร ไม่ต้องใช้ภาษากฎหมายที่อ่านแล้วปวดหัว ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราจริงใจและโปร่งใส ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างความไว้วางใจระยะยาว
- ให้อำนาจลูกค้า มีช่องทางให้ลูกค้าดู แก้ไข หรือลบข้อมูลของตัวเองได้ง่าย ๆ ไม่ต้องให้ติดต่อหลายรอบหรือทำเรื่องยุ่งยาก ทำให้ลูกค้ารู้สึกควบคุมข้อมูลของตัวเองได้และพร้อมให้ข้อมูลกับเรามากขึ้นในอนาคต
- ใช้เป็นจุดขาย นำเรื่องการรักษาข้อมูลมาเป็นจุดแข็งในการโฆษณา เช่น มีป้าย “เราใส่ใจความเป็นส่วนตัวของคุณ” บนเว็บไซต์ หรือเน้นย้ำในแคมเปญว่าเราไม่ขายข้อมูลลูกค้า ในยุคที่ข่าวข้อมูลรั่วไหลมีให้เห็นบ่อย การเป็นแบรนด์ที่ปลอดภัยจะสร้างความแตกต่างได้มาก
- ฝึกพนักงานให้เข้าใจ อบรมพนักงานทุกคนให้เข้าใจความสำคัญของข้อมูลลูกค้า วิธีเก็บรักษาที่ถูกต้อง และสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำลายความเชื่อมั่นที่สร้างมานาน
บทสรุป
Data Privacy คือพื้นฐานสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ที่จะสร้างความน่าเชื่อถือและความแตกต่างให้กับแบรนด์ การนำมาปรับใช้กับการตลาดออนไลน์ทั้งการขอความยินยอมที่ชัดเจน การจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น และการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยและเต็มใจให้ข้อมูลมากขึ้น ในยุคที่ข่าวการรั่วไหลของข้อมูลมีให้เห็นบ่อยครั้งอย่างในปัจจุบันนี้ แบรนด์ที่เป็นที่พึ่งพาได้ในเรื่องการปกป้องข้อมูลจะได้รับความไว้วางใจและความจงรักภักดีจากลูกค้ามากกว่านั่นเอง
บทความที่เกี่ยวข้อง

Google เผยเอกสาร 8 วิธีทำให้เว็บไซต์คุณติด AI Search ทุกตัว
