ปัจจุบัน AI ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและการหาข้อมูลของผู้คนไปอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าผู้คนหันมาพึ่งพา AI Search กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดคำถามว่ากลยุทธ์การตลาดแบบเดิม ๆ อย่างการทำ SEO จะยังใช้ได้ผลอยู่หรือไม่ในปีนี้ หรือ SEO จะตายไปมั้ย และเราจะปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ดีที่สุด
คำตอบอาจอยู่ที่ Generative Engine Optimization (GEO) ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาช่วยให้ธุรกิจของคุณถูก AI เลือกเป็นคำตอบได้ ในบทความนี้ทาง ANGA (แองก้า) จะพาคุณมาเจาะลึกว่า GEO คืออะไร และจะนำมาปรับใช้ได้อย่างไรให้เข้ากับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ
GEO คืออะไร

Generative Engine Optimization หรือ GEO คือกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลยุคใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ สามารถปรับตัวและเติบโตได้ในยุคที่เครื่องมือ Generative AI เช่น ChatGPT, Claude หรือ Gemini เข้ามามีบทบาทสำคัญ แทนที่จะเน้นการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหาแบบเดิม กลยุทธ์ GEO จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อให้ AI สามารถเข้าถึงและนำข้อมูลของเราไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ AI สร้างขึ้นเมื่อมีผู้ใช้งานค้นหา
ผลสำรวจ "Work Trend Index 2024" ของ Microsoft และ LinkedIn ยังชี้ให้เห็นว่า 70% ของคนทำงานในไทยใช้ Generative AI ในที่ทำงาน และกลุ่มผู้ใช้งานระดับสูง (Power Users) กว่า 86% เริ่มต้นและจบวันทำงานด้วย AI ซึ่งตอกย้ำว่า AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานไปแล้ว ทำให้การค้นหาข้อมูลและการปรับแต่งเนื้อหาในเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ AI จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีการพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ อย่าง AEO ซึ่งเป็นอีกแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เนื้อหาตอบโจทย์ระบบ AI มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
โดย เกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน - Managing Director at ANGA (คลิกประวัติ)
ตั้งแต่ที่ Generative AI มีการพัฒนามาจนสามารถให้ข้อมูลได้แม่นยำมากขึ้น เราพบว่าหลาย ๆ ธุรกิจให้ความสำคัญที่จะเอาชื่อแบรนด์ตัวเองไปอยู่บนการแสดงผลของ AI ซึ่งก็คือกระบวนการที่เราเรียกว่า Generative Engine Optimization ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต่อยอดจากวิธีการทำ SEO ในปัจจุบัน แบรนด์ที่ติดบนคำตอบของ AI ได้ต้องเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือสูงมากพอและแข็งแรงมาก จริงๆ
SEO กับ GEO แตกต่างกันอย่างไร
Search Engine Optimization (SEO) และ Generative Engine Optimization (GEO) เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเพิ่มการมองเห็นเนื้อหาเว็บไซต์บนโลกออนไลน์ แต่มีจุดประสงค์และวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย GEO vs SEO นั้นมีความแตกต่างกันในเรื่อง
เป้าหมายหลัก
SEO มีเป้าหมายในการนำผู้ใช้งานมาสู่เว็บไซต์ของคุณผ่านการค้นหา โดยให้คลิกเข้าเว็บไซต์โดยตรง ในขณะที่ GEO มีเป้าหมายเพื่อให้เนื้อหาของคุณเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ AI สร้างขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้และการอ้างอิงจาก AI โดยตรง แม้ผู้ใช้จะไม่ได้คลิกเข้าเว็บไซต์ก็ตาม
การจัดการคำค้นหา
ใน SEO การวิเคราะห์และใช้คำค้นหาอย่างเหมาะสมในเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ถูกค้นพบ แต่สำหรับ GEO เนื้อหาควรมีความเป็นธรรมชาติและให้ข้อมูลที่ครอบคลุม โดยใช้บริบทและความชัดเจนของเนื้อหาเป็นหลัก เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทและตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง
ลักษณะของเนื้อหาที่เน้น
การทำ SEO จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่อยู่บนหน้าเว็บ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ ที่มีการใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถจัดอันดับได้ ส่วน GEO จะเน้นเนื้อหาที่เข้าใจง่าย มีบริบทที่ชัดเจน และสามารถตอบคำถามได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้ AI ประมวลผลและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางการวัดผล
SEO วัดผลจากอันดับการค้นหา จำนวนคลิก และปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ ในขณะที่ GEO จะเน้นการติดตามว่าเนื้อหาของเราถูก AI นำไปใช้บ่อยแค่ไหน และความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่ได้รับคำตอบจาก AI ว่าตรงตามความต้องการหรือไม่
Piyawat Supsindumrong | SEO Specialist at ANGA Bangkok – "ในมุมมองของผมที่ทำงานด้าน SEO มาเป็นเวลา 5 ปี การมาของ Google AI Mode ถือเป็นความท้าทายใหม่ เพราะจากเดิมที่เรามุ่งเน้นการปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับ Google Search แบบเดิม ตอนนี้เราต้องเริ่มให้ความสำคัญกับการที่ AI จะเข้ามาเก็บข้อมูลจากเว็บ (Crawling) และวิธีที่ AI แสดงผลลัพธ์มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าได้ไปปรากฏในพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ตอบรับกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปครับ"
นักการตลาดต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
Generative AI มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นักการตลาดและคนทำ SEO จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้เนื้อหาของเรายังคงถูกค้นพบและสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ การทำ GEO จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเน้นการสร้างสรรค์เนื้อหาที่ AI สามารถทำความเข้าใจ นำไปประมวลผล และใช้ในการตอบคำถามของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่างจาก SEO แบบดั้งเดิมที่เน้นการจัดอันดับเว็บไซต์ การปรับตัวครั้งนี้จะช่วยให้แบรนด์ของคุณยังคงโดดเด่นในผลลัพธ์ที่ AI สร้างขึ้นมา
- สร้างเนื้อหาหลากหลาย ครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ เพื่อให้ AI ประมวลผลได้ดีขึ้น
- ปรับกลยุทธ์การใช้คีย์เวิร์ด เน้นบริบทและความชัดเจนของเนื้อหา ให้ตอบคำโจทย์คีย์เวิร์ด
- แก้ปัญหา SEO เชิงเทคนิค ใช้ Structured Data และเพิ่มความเร็วเว็บไซต์
- เน้นเนื้อหาคุณภาพ สร้างบทความ SEO ที่ ให้ข้อมูลเชิงลึก และตอบคำถามผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด
- เข้าใจเจตนาผู้ใช้ สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- ปรับกลยุทธ์ต่อเนื่อง คอยอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยและเหมาะสม เพื่อให้ AI พิจารณานำเสนออยู่เสมอ
เคล็ดลับที่ ANGA พบคือ SEO และ GEO เป็นกลยุทธ์ที่ส่งเสริมกันได้ดีมาก การที่เนื้อหาของคุณมีอันดับที่ดีใน Search Engine ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ AI นำมาพิจารณาในการเลือกใช้ข้อมูล ตัวอย่างเช่น Google AI Overviews (AIOs) และ Google AI Mode แสดงให้เห็นว่าการมีเนื้อหาที่ดีและติดอันดับใน Google มีโอกาสสูงที่จะถูกนำเสนอโดย AI ด้วย
วิธีทำ GEO (Generative Engine Optimization)

การทำ GEO ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักการตลาดในยุคดิจิทัลที่ AI เข้ามามีบทบาทอย่างมาก การผสมผสานกลยุทธ์ SEO และ GEO จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการตลาดออนไลน์ของคุณ แทนที่จะมองว่าทั้งสองกลยุทธ์นี้เป็นคู่แข่งกัน ควรพิจารณาให้มันทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาของคุณเป็นที่รู้จักและถูกนำเสนอโดย AI มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
1. ปรับปรุงและสร้างสรรค์เนื้อหา
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานคือหัวใจสำคัญของ GEO เนื้อหาที่ดีควรมีลักษณะเป็นการสนทนาที่ชัดเจน มีบริบทที่ครบถ้วน และตอบคำถามที่ผู้ใช้ค้นหาได้อย่างตรงประเด็น นอกจากนี้ การใช้คำค้นหาแบบยาว (Long Tail Keywords) หรือคำถามที่ผู้คนมักจะถามบ่อย ๆ ในเนื้อหา จะช่วยให้ AI เข้าใจและนำเสนอข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
2. ใช้รูปแบบเนื้อหาที่หลากหลาย
เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้งาน ควรนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่จำกัดแค่ข้อความ ลองเพิ่มกราฟิกที่ออกแบบเอง รูปภาพ อินโฟกราฟิก หรือวิดีโอสั้น ๆ เข้ามาประกอบ นอกจากนี้ การเพิ่มพอดแคสต์หรือคลิปเสียง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ชอบการเรียนรู้ผ่านการฟัง
3. ปรับปรุง SEO ทางเทคนิค
SEO ทางเทคนิค ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำ GEO การใช้ Structured Data หรือ Schema Markup จะช่วยให้เครื่องมือ Generative Engine เข้าใจบริบทของเนื้อหาเราได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์และเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
4. เน้นความน่าเชื่อถือและการควบคุมแบรนด์
การสร้างและดูแลเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้นักการตลาดสามารถควบคุมวิธีที่ AI นำเสนอและแสดงผลแบรนด์ของเราในผลลัพธ์การค้นหา การตั้งเป้าให้แบรนด์เป็นแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์และน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วและตรงประเด็น เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของ AI และผู้ใช้งาน
5. ทำความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้
การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานต้องการอะไรเมื่อค้นหาข้อมูล จะช่วยให้เราสร้างเนื้อหาที่ตรงใจและมีคุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณในระยะยาว
6. ตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ
การติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อดูว่าเนื้อหาใดที่ได้รับการตอบรับดี และส่วนใดที่ควรปรับปรุง การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ GEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย
การอัปเดตเนื้อหาให้มีความทันสมัยและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอจะช่วยให้ AI พิจารณานำเสนอข้อมูลของคุณบ่อยขึ้น เนื่องจาก AI ชื่นชอบการแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ การรักษาความสดใหม่ของเนื้อหาจึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญในการทำ GEO
บทสรุป
GEO คือหนึ่งในวิธีติด AI Overviews ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณไปได้ดีในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญกับการค้นหาข้อมูล ถ้าคุณสร้างเนื้อหาที่ดี น่าเชื่อถือ และตอบคำถามที่คนอยากรู้ได้ตรงประเด็น GEO จะเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ของคุณถูก AI Search นำไปแนะนำ ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ที่ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และยังทำให้การทำ SEO ที่คุณเคยทำมานั้นได้ผลดีกว่าเดิมด้วย การที่เราเข้าใจและเริ่มใช้ GEO ตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น