เมื่อก่อนมีแค่การทำ SEO ให้เว็บติดหน้าแรก Google ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ AI ของ Google ฉลาดล้ำไปมาก มันไม่ได้แค่หาสิ่งที่เราพิมพ์เข้าไป แต่มันพยายามเข้าใจและตอบเราเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเลย ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้ใช้งานหรือกลุ่มลูกค้าของเราเปลี่ยนตามไปด้วย จากที่เคยค้นหาเป็นคำๆ เช่น "ร้านกาแฟติด bts" กลายมาเป็นการถามตอบหรือพูดคุยไปเลย เช่น "ช่วยแนะนำร้านกาแฟติด bts บรรยากาศดี มีที่ถ่ายรูปสวยๆ เหมาะสำหรับไปเดท" จึงทำให้เกิด AEO และ GEO เพิ่มเข้ามาให้นักการตลาดและคนทำ SEO ต้องทำความเข้าใจ
คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
“ในฐานะคนที่คลุกคลีกับ SEO มานาน ผมมองว่าการมาของ AEO และ GEO ไม่ใช่การมาแทนที่ SEO ครับ แต่เป็นการเข้ามาต่อยอด และบังคับให้เราต้องทำ SEO ให้มีคุณภาพสูงขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้ผู้ใช้งานเริ่มพึ่งพาคำตอบที่ AI สรุปให้บน AI Overviews มากขึ้น การเข้าใจ AEO และ GEO ควบคู่ไปกับการทำ SEO ยิ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ AI นำข้อมูลจากเว็บเราไปใช้ก่อนคู่แข่งได้ครับ”
SEO vs AEO vs GEO คืออะไร?
ก่อนจะไปลงลึกแต่ละตัว ผมอยากให้เห็นภาพความสัมพันธ์ของทั้งสามอย่างแบบง่ายๆ ก่อน
- SEO: ทำให้คน “เจอคุณ” ผ่านการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหรือคำสั้นๆ
- AEO: ทำให้ระบบ AI “เลือกเนื้อหาคุณไปเป็นคำตอบ” เวลาที่มีคนมาถามคำถาม
- GEO: ทำให้โลกและ AI “เข้าใจและเชื่อถือคุณ” ในภาพรวมว่าคุณเป็นใคร
แล้วต้องทำอันไหนก่อนหลัง? คำตอบคือ ต้องเริ่มที่ SEO ก่อนเสมอครับ เพราะถ้าเว็บไซต์ยังไม่ถูกค้นเจอ การจะถูกเลือกไปเป็นคำตอบ (AEO) หรือ AI จะทำความรู้จักคุณในภาพรวม (GEO) ก็คงเป็นไปไม่ได้ถูกไหมครับ

SEO คืออะไร?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ กระบวนการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและเป็นมิตรกับ Search Engine อย่าง Google เพื่อให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เวลาที่มีคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหรือคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา
- หลักการทำงาน
- On-page SEO: การปรับปรุงปัจจัยภายในเว็บไซต์ เช่น โครงสร้างเว็บ, การใช้ Meta tags (Title, Description), การวางคีย์เวิร์ดในเนื้อหา, การทำ Internal Link ภายในเว็บ
- Off-page SEO: การสร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก โดยหลักๆ คือการได้รับลิงก์คุณภาพจากเว็บไซต์อื่น หรือที่เราเรียกกันว่า Backlink เป็นเหมือนการโหวตว่าเว็บเรามีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ
- Technical SEO: การดูแลหลังบ้านให้เว็บไซต์ทำงานได้ดี เช่น ความเร็วในการโหลด, การทำให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูล (Indexing) ได้ง่าย, และการรองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile-Friendly)
- เป้าหมายการทำ SEO: เพื่อสร้างการมองเห็น และดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิก (Organic Traffic) ที่มีคุณภาพและไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา
ตัวอย่างการทำ SEO ในบทความของแองก้า
ตัวอย่างการทำ SEO ในบทความ AI Search คืออะไร ที่มีการทำ On-page SEO ทั้งในส่วนการเขียนบทความให้เป็นตามหลัก E-E-A-T การแทรกคีย์เวิร์ดสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเข้าไปใน Meta tags (Title, Description, Headers) จนทำให้บทความของแองก้าติดอันดับ 2 บน Google และ AI ยังเลือกไปแสดงผลบน AI Overviews ด้วย เมื่อเสิร์ชคำว่า “AI Search คือ”

AEO คืออะไร?
AEO ย่อมาจาก Answer Engine Optimization คือ การปรับแต่งเนื้อหาและเว็บไซต์ให้ดีและชัดเจนพอที่ Search Assistant ต่างๆ รวมถึง AI ของ Google จะดึงเนื้อหาของเราไปตอบคำถามผู้ใช้ได้ทันทีในฟีเจอร์ AI Overviews
- หลักการทำงาน:
- เขียนเนื้อหาเชิงตอบคำถาม: สร้างคอนเทนต์ที่ตอบคำถามที่คนสงสัยโดยตรง เช่น "วิธีเลือกซื้อหูฟังบลูทูธ" หรือ "ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง"
- ใช้โครงสร้างข้อมูล (Structured Data): ใส่โค้ดประเภท Schema Markup เช่น FAQ Schema เพื่อบอกให้ AI เข้าใจว่าส่วนไหนคือคำถาม ส่วนไหนคือคำตอบ ทำให้ AI ดึงข้อมูลไปใช้ง่ายขึ้น
- ใช้ภาษาที่ดูเป็นธรรมชาติ: เขียนเหมือนกำลังพูดคุยหรือตอบคำถามจริงๆ ไม่ใช่ภาษาที่อัดแน่นไปด้วยคีย์เวิร์ดเท่านั้น
- เน้น E-E-A-T: สร้างเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ (Experience), ความเชี่ยวชาญ (Expertise), ความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness), และความไว้วางใจได้ (Trustworthiness) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของคำตอบ
- เป้าหมายการทำ AEO: เมื่อก่อนเป้าหมายของ SEO คือการทำให้คนคลิกลิงก์สีน้ำเงิน (Blue Link) เข้ามาหาคำตอบในเว็บของเรา แต่ปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับการทำ AEO เพื่อสร้างโอกาสให้แบรนด์กลายเป็นคำตอบแรกที่ผู้ใช้งานจะเห็นได้ทันที เมื่อ AI สรุปคำตอบมาให้อ่านตรง AI Overviews ซึ่งอยู่ตำแหน่งบนสุดของหน้าผลการค้นหา
ตัวอย่างการทำ AEO ในบทความของแองก้า
ตัวอย่างการทำ AEO ในบทความรวม บริษัทรับทำ SEO ที่มีการปรับแต่งและจัดเรียงเนื้อหาให้อ่านเข้าใจง่าย มีการใส่โค้ดประเภท FAQ Schema Markup ในส่วนที่เป็นการถามตอบ จนทำให้บทความของแองก้ากลายเป็นคำตอบที่ AI เลือกไปแสดงผลบน AI Overviews ทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นได้ทันทีเมื่อเสิร์ชคำว่า “รับทำ SEO”

GEO คืออะไร?
GEO ย่อมาจาก Generative Engine Optimization คือ การปรับแต่งเนื้อหาและเว็บไซต์ เพื่อให้ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ AI ใน Search Engine สามารถมองเห็น–ตีความ–และนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์เราได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ พูดง่ายๆ คือ เป็นการสอนให้ AI รู้ว่าเราคือใคร, เชี่ยวชาญอะไร, และน่าเชื่อถือแค่ไหน เป็นกระบวนการระยะยาวที่ต้องอาศัยข้อมูลภายนอกเว็บไซต์เป็นหลัก และต้องมีการติดตามภาพลักษณ์อย่างสม่ำเสมอด้วย
- หลักการทำงาน:
- สร้าง Digital Footprint ที่สอดคล้องกัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท, สินค้า, บริการของเราในทุกๆ แพลตฟอร์ม ทั้งเว็บไซต์, Social Media, หรือ Google Business Profile เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกันทั้งหมด
- ลองใช้ Generative AI ถามเกี่ยวกับแบรนด์หรือสินค้าของคุณ เพื่อดูว่ามันดึงข้อมูลอะไรมาตอบ และตอบถูกต้องหรือไม่
- เสริมการรับรู้แบรนด์ ด้วยการสร้างข้อมูลคุณภาพจากหลายๆ แหล่งเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เช่น ทำ Backlink คุณภาพ หรือการมีรีวิวที่ดีบนแพลตฟอร์มต่างๆ
- เป้าหมายการทำ GEO: เพื่อควบคุมและทำความเข้าใจว่า ผู้คนมองแบรนด์คุณยังไง และที่สำคัญกว่านั้นคือ AI พูดถึงคุณยังไงในโลกดิจิทัล
คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน - Managing Director at ANGA ได้สรุปสูตรลับ SOURCE CODE เพื่อให้ AI Search อ้างอิงเว็บเราในงาน MKTCON 2025 ว่า
“การทำ GEO ก็เหมือนการพาแบรนด์เราไปแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับ AI ครับ เพื่อให้ AI รู้จักและเข้าใจเราจนกลายเป็น Entity (Be a Thing) ที่ชัดเจนใน Knowledge Graph ของมัน พอถึงจุดนั้น เวลาคนถามอะไรที่เกี่ยวข้อง AI จะนึกถึงแบรนด์เราและมั่นใจที่จะดึงข้อมูลภายในเว็บไซต์ไปอ้างอิงเป็นคำตอบให้ผู้ใช้งานได้ทันที”
ตารางเปรียบเทียบ SEO vs AEO vs GEO
SEO (Search Engine Optimization) | AEO (Answer Engine Optimization) | GEO (Generative Engine Optimization) | |
เป้าหมายหลัก | ติดอันดับสูงๆ บนหน้าค้นหา (Ranking) เพื่อให้เกิดการคลิก (Traffic) | ถูก AI เลือกไปแสดงผลเป็นคำตอบโดยตรง (Featured Snippets, AI Overviews) | ถูก AI เลือกใช้เป็นแหล่งข้อมูลเพื่อสร้างสรรค์คำตอบชุดใหม่ (Source for Generative AI) |
รูปแบบคอนเทนต์ | บทความยาว ครอบคลุมหัวข้อ (Pillar Page), การทำ On-Page | เนื้อหาแบบถาม-ตอบ (Q&A), FAQ, How-to, คำจำกัดความที่ชัดเจน | บทวิเคราะห์เชิงลึก, รายงานผลวิจัย (Case Study), ข้อมูลสถิติที่เป็น Original, Unique Data |
วิธีวัดผล | อันดับ (Rank), จำนวนผู้เข้าชม (Traffic), Conversion Rate | การแสดงผลใน AI Features, การถูกอ้างอิง (Mentions), Share of Voice | การถูกอ้างอิงในคำตอบของ AI, การเพิ่มขึ้นของ Brand Authority และ Digital Trust |
ตัวอย่างที่ชัดเจน | เว็บไซต์ติดอันดับ 1-3 ในหน้าผลการค้นหาแบบปกติ | คำตอบที่ปรากฏในกล่อง "People also ask" หรือ "AI Overviews" | AI อ้างอิงข้อมูลจาก Case Study ของคุณเพื่อตอบคำถามที่ซับซ้อน |
หัวใจสำคัญ | การทำ Keyword Research, Technical SEO, การสร้าง Backlink | การเข้าใจ User Intent, การใช้ภาษาธรรมชาติ, การทำ Schema Markup | การสร้างข้อมูลที่มีเอกลักษณ์ (Originality), ความเชี่ยวชาญเชิงลึก (Expertise), E-E-A-T |
SEO, AEO และ GEO ทำงานร่วมกันยังไง?
แองก้าเรามองว่า การมาของ AEO และ GEO ไม่ได้ทำให้ SEO หายไปไหน แต่ธุรกิจยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO มากขึ้นไปอีก เพราะถ้าทำ SEO ไม่ดี การจะต่อยอดไปสู่ AEO หรือ GEO ก็อาจทำได้ยากขึ้น การทำงานร่วมกันของทั้งสามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในยุค AI Search ได้ครับ
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูสถานการณ์จำลองของธุรกิจ "บริษัทรับทำบัญชี" ที่ต้องการลูกค้ากลุ่ม SME ในยุค AI Search กันครับ
ขั้นตอนที่ 1 วางรากฐานด้วย SEO (เจอเราให้ได้ก่อน)
ทีมจะเริ่มจากการทำ Keyword Research เพื่อทำความเข้าใจ Search Intent หรือความต้องการเบื้องหลังคำค้นหา เช่น
- คำว่า "รับทำบัญชีรายเดือน" มี Commercial Intent หรือความต้องการซื้อสูง
- คำว่า "ภาษีนิติบุคคล SME" มี Informational Intent หรือความต้องการข้อมูล
จากนั้นก็ปรับปรุงหน้า Service Page ให้สอดคล้องกับ Intent นั้นๆ ทำให้เว็บโหลดเร็วตามหลัก Core Web Vitals และสร้าง Backlink คุณภาพจากเว็บข่าวธุรกิจเพื่อสร้าง Authority ให้เว็บไซต์ของเรา
ขั้นตอนที่ 2 ต่อยอดสู่ AEO (เป็นคำตอบที่ AI เลือก)
บนหน้า Service Page เดียวกันนั้น ทีมจะสร้างส่วน FAQ ที่ตอบคำถามที่ลูกค้ามักสงสัยแบบตรงไปตรงมา เช่น
- ทำบัญชีรายเดือน ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่?
- SME ที่เพิ่งจดทะเบียนต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่?
พร้อมกับทำ Schema Markup เพื่อช่วยให้ AI รู้ว่านี่คือชุดคำถาม-คำตอบ (Q&A) เป้าหมายคือการเอาชนะในสงคราม Zero-Click Searches ที่ผู้ใช้ได้คำตอบจากที่ AI สรุปทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านต่อในเว็บ แต่แบรนด์ของเราได้การมองเห็นไปเต็มๆ บน AI Overviews
ขั้นตอนที่ 3 ปิดเกมด้วย GEO (สอนให้ AI รู้ว่าเราคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง)
ทีมจะสร้างบทความที่เป็นเหมือนศูนย์กลางความรู้ (Topical Authority Hub) เช่น "คู่มือบัญชีและภาษีฉบับสมบูรณ์สำหรับ SME ปี 2025" ในบทความนี้จะรวบรวมคำตอบจากส่วน AEO เข้าไว้ด้วยกัน, เสริมด้วย Case Study, อินโฟกราฟิกเปรียบเทียบโปรแกรมบัญชี, และ Checklist ให้ดาวน์โหลดฟรี เนื้อหาในบทความนี้จะไม่ได้มีแค่การถามตอบ แต่เป็นการมอบโซลูชันแบบครบวงจร ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ Generative AI จะเลือกไปอ้างอิง เพื่อสร้างเป็นคำตอบที่ละเอียดและมีคุณภาพที่สุด
อย่าลืม Technical SEO โครงสร้างสำคัญในทุกขั้นตอน
SEO, AEO และ GEO จะทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ถ้ามีการวางโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) และมีการเชื่อมโยงลิงก์ภายใน (Internal Linking) ที่ดีด้วย
- ในมุม SEO: ช่วยให้ Googlebot ใช้ Crawl Budget ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือเข้ามาเก็บข้อมูลได้ครบทุกหน้าสำคัญ ไม่ตกหล่น
- ในมุม AEO: เมื่อ AI ต้องการหาคำตอบที่เจาะจง มันจะหาเจอได้ง่ายและรวดเร็วในเว็บที่มีโครงสร้างดี
- ในมุม GEO: การเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ AI เข้าใจภาพรวมและความเชี่ยวชาญของเว็บไซต์เราได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในทางกลับกัน เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างสับสนเหมือนกองหนังสือที่ไม่มีการจัดหมวดหมู่ ต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน AI ก็อาจจะมองข้ามไป เพราะมันหาข้อมูลที่ต้องการไม่เจอ หรือไม่เข้าใจความเชื่อมโยงในแต่ละหน้านั่นเองครับ
ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ SEO, AEO และ GEO
1. สรุปแล้ว GEO กับ AEO จะมาแทนที่ SEO ทั้งหมดเลยใช่ไหม?
ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นการทำงานร่วมกัน SEO คือรากฐานที่แข็งแกร่ง ส่วน AEO และ GEO คือการต่อยอดคอนเทนต์บนรากฐานนั้นเพื่อคว้าโอกาสในยุค AI ดังนั้น SEO ที่ดีจะยิ่งส่งผลให้การทำ AEO และ GEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ธุรกิจขนาดเล็ก ควรเริ่มจากอะไรก่อนดีระหว่าง 3 อย่างนี้?
ควรเริ่มจาก SEO พื้นฐานที่แข็งแกร่ง ก่อนเสมอ จากนั้นให้ต่อยอดไปที่ AEO โดยเน้นสร้างคอนเทนต์ตอบคำถามที่ลูกค้าถามบ่อยๆ เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลได้เร็ว ส่วน GEO อาจเป็นลำดับถัดไปเมื่อคุณพร้อมสำหรับกลยุทธ์ระยะยาว
3. เราจะวัดผลความสำเร็จของ AEO กับ GEO ได้อย่างไร ในเมื่ออาจไม่มีคนคลิกเข้าเว็บ?
เราต้องเปลี่ยนมุมมองการวัดผลจาก "Traffic" ไปสู่ "Visibility" และ "Influence" เช่น การติดตามว่าแบรนด์ของเราถูกอ้างอิงใน AI Overviews บ่อยแค่ไหน (Share of Voice) หรือการเพิ่มขึ้นของ Branded Search ซึ่งวิธีวัดผล AI Search สามารถทำได้ด้วยการเก็บข้อมูลผ่าน Google Analytics 4 (GA4)
4. เราสามารถทำ AEO และ GEO เองได้ไหม หรือจำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่?
สามารถเริ่มต้นทำเองได้ในเบื้องต้น แต่การทำในระดับสูงที่ต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การปรับโครงสร้างทางเทคนิค และการวางกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประหยัดเวลาและทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่า
5. คอนเทนต์ประเภทไหนที่ได้ผลดีที่สุดกับ AEO และ GEO?
คอนเทนต์ที่ตอบคำถามโดยตรงและให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น บทความ How-to, บทความเปรียบเทียบ (X vs Y), Checklist, และบทความที่รวบรวมข้อมูลสถิติหรือ Case Study ที่เป็น Original Content ของแบรนด์เอง
6. ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลจากการทำ AEO และ GEO?
คล้ายกับการทำ SEO คือเป็นการลงทุนระยะยาว การปรับโครงสร้างทางเทคนิคอาจเห็นผลในไม่กี่สัปดาห์ แต่การที่จะให้ AI "เชื่อใจ" และเลือกคอนเทนต์ของเราไปตอบอย่างสม่ำเสมอ อาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือนขึ้นไป
7. การทำ SEO, AEO, GEO จะส่งผลต่อการตลาดช่องทางอื่น ๆ เช่น Google Ads หรือ Social Media หรือไม่?
ส่งผลดีอย่างมาก เมื่อแบรนด์ของคุณปรากฏเป็นคำตอบที่น่าเชื่อถือบน Search Engine ความไว้วางใจ (Trust) ของลูกค้าก็จะสูงขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นโฆษณาหรือโพสต์ของคุณ ก็จะมีแนวโน้มที่จะสนใจและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
SEO อย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องให้ความสำคัญทั้ง SEO, AEO และ GEO ด้วย
การทำ SEO แบบดั้งเดิมอาจทำให้เว็บถูกค้นเจอในหน้าแรกๆ แต่ไม่ได้การันตีว่าเราจะถูก AI เลือกไปเป็นคำตอบ นี่คือจุดที่ AEO และ GEO เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเป้าหมายสูงสุดที่เชื่อมทั้งสามสิ่งนี้เข้าด้วยกันคือการสร้าง Digital Trust หรือสร้างความไว้วางใจในโลกดิจิทัล ซึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การสร้าง Authority ที่พิสูจน์ได้ผ่าน Backlink คุณภาพ การสร้างเนื้อหาตามหลัก E-E-A-T ไปจนถึงการได้รับสัญญาณเชิงบวกจากผู้ใช้งานจริง (User Signals) เมื่อทั้งหมดทำงานร่วมกัน มันคือการส่งสัญญาณที่ทรงพลังให้ AI รู้ว่า เราคือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือที่สุด และทำให้เว็บไซต์ของเรากลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ AI จะหยิบไปใช้อ้างอิงครับ